Please use this identifier to cite or link to this item: https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/44148
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorอรัญญา ตุ้ยคำภีร์-
dc.contributor.advisorสุภลัคน์ ลวดลาย-
dc.contributor.authorกัญญาวีร์ พรหมพันธุ์-
dc.contributor.authorมุทิตา คำทัปน์-
dc.contributor.authorเมริษา ยอดมณฑป-
dc.contributor.otherจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะจิตวิทยา-
dc.date.accessioned2015-07-24T02:32:31Z-
dc.date.available2015-07-24T02:32:31Z-
dc.date.issued2556-
dc.identifier.otherPsy 199-
dc.identifier.urihttp://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/44148-
dc.descriptionโครงงานทางจิตวิทยานี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2556en_US
dc.descriptionA senior project submitted in partial fulfillment of the requirements for the Degree of Bachelor of Science in Psychology, Faculty of Psychology, Chulalongkorn University, Academic year 2013en_US
dc.description.abstractการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง การนับถือศาสนา (การนับถือศาสนาจากแรงจูงใจภายใน และการนับถือศาสนาจากภายในจากแรงจูงใจภายนอก) การเผชิญปัญหาของครอบครัว (การส่งเสริมการรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัว การรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัว และการเข้าใจการรักษาโรค) การสนับสนุนทางสังคม และการฟื้นคืนพลังของสมาชิกครอบครัวที่มีผู้ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง กลุ่มตัวอย่าง คือ สมาชิกในครอบครัวที่มีผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และอาศัยอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย จำนวน 160 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ มาตรวัดการนับถือศาสนา มาตรวัดการเผชิญปัญหาของครอบครัว มาตรวัดการสนับสนุนทางสังคม และมาตรวัดการฟื้นคืนพลังของครอบครัว สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และ การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบใส่ตัวแปรทุกตัวเข้าไปในสมการ ผลการวิจัยพบว่า 1. การนับถือศาสนาจากแรงจูงใจภายใน และ การนับถือศาสนาจากภายในจากแรงจูงใจภายนอกมีสหสัมพันธ์ทางบวกกับการฟื้นคืนพลังของครอบครัวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = .34, p < .01 และ r = .38, p < .01 ตามลำดับ) สำหรับการเผชิญปัญหาของครอบครัว คือ การรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัว การคงไว้ซึ่งการสนับสนุนทางสังคมในมีและ การเข้าใจการรักษาโรคมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการฟื้นคืนพลังของครอบครัวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = .37, p < .01; r = .36, p <. 01 และ r = .33, p < .01 ตามลำดับ) ส่วนการสนับสนุนทางสังคมมีสหสัมพันธ์ทางบวกกับการฟื้นคืนพลังของครอบครัวอย่างมีนัยสำคัญ (r = .58, p<.01) 2. การนับถือศาสนา การเผชิญปัญหาของครอบครัว และการสนับสนุนทางสังคม สามารถร่วมกันทำนายความแปรปรวนของการฟื้นคืนพลังของครอบครัวได้ร้อยละ 58 โดยมีการเข้าใจในการรักษาโรคมีนํ้าหนักในการทำนายสูงที่สุด (β = .35, p < .01) รองลงมา คือ การคงไว้ซึ่งการสนับสนุนทางสังคม (β = .25, p < .01) เพศ (β = .23, p < .01) ระยะเวลาในการดูแลผู้ป่วยที่สุด (β =.16, p <.01) การคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ในครอบครัว (β = .13, p <.01) การนับถือศาสนาจากภายนอก (β = .10, p <.01) การนับถือศาสนาจากภายใน (β = .02, p < .01) และการสนับสนุนทางสังคม (β = -.05, p < .01)en_US
dc.description.abstractalternativeThe study aimed to examine relationships among religious orientation (internal and external religious orientation), family coping (family relation, maintaining social support, and understanding the medical situation), social support and family resilience. Participants were 160 family members of persons with chronic illness in central provinces of Thailand. Instruments were Religious Orientation Scale, Family Coping Scale, Social Support Scale and Family Resilience Scale. Pearson’s product moment correlation coefficient and multiple regression analysis with enter method were used to analyze the data. Findings revealed as below. 1. Intrinsic and extrinsic religious orientations were positively and significantly correlated with family resilience (r = .34, p < .01 and r = .38, p < .01 respectively). Regarding family coping, family relation, maintaining social support, and understanding the medical situation were positively and significantly correlated with family resilience (r = .37, p < .01; r = .36, p < .01 and r = .33, p < .01 respectively). In addition, social support was positive and significantly correlated with family resilience (r = .58, p < .01). 2. Religious orientations, family coping, and social support significantly predict family resilience of family members of persons with chronic illness and accounted for 58 percentage of total variance of family resilience. The salient predictor was the medical situation (β = .35, p < . 01), followed by maintaining social support (β = .25, p < .01) gender (β = .23, p <.01) duration (β = .16, p < .01) family relation (β = .13, p < .01) extrinsic religious orientation (β = .10, p < .01) internal religious orientation (β = .02, p < .01) and social support (β = -.05, p < .01)en_US
dc.language.isothen_US
dc.publisherจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen_US
dc.rightsจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen_US
dc.subjectจิตวิทยากับศาสนาen_US
dc.subjectพุทธศาสนากับจิตวิทยาen_US
dc.subjectผู้ป่วยโรคเรื้อรังen_US
dc.subjectผู้ป่วยโรคเรื้อรัง -- การดูแลที่บ้านen_US
dc.subjectผู้ป่วยโรคเรื้อรัง -- ภาวะสังคมen_US
dc.subjectโรคเรื้อรังen_US
dc.subjectPsychology and religionen_US
dc.subjectChronically illen_US
dc.subjectChronically ill -- Home careen_US
dc.subjectChronically ill -- Social conditionsen_US
dc.subjectChronic diseasesen_US
dc.titleการนับถือศาสนา การเผชิญปัญหา การสนับสนุนทางสังคม และการฟื้นคืนพลังของสมาชิกในครอบครัวที่มีผู้ป่วยโรคเรื้อรังen_US
dc.title.alternativeReligious orientation, family copings, social support and family resilience among family members of person with chronic illnessen_US
dc.typeSenior Projecten_US
dc.email.advisor[email protected]-
dc.email.advisorไม่มีข้อมูล-
Appears in Collections:Psy - Senior Projects

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
Kanyavee_pr.pdf980.47 kBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.