Please use this identifier to cite or link to this item:
https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/61066
Title: | แนวทางการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตถุงพลาสติก |
Authors: | นิภาพร สิงห์มณีสกุลชัย |
Email: | [email protected] |
Advisors: | ทัชชมัย ทองอุไร |
Other author: | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะนิติศาสตร์ |
Subjects: | การกำจัดขยะ ถุงพลาสติก |
Issue Date: | 2560 |
Publisher: | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract: | ปัญหาขยะถุงพลาสติกเป็นหนึ่งในปัญหาขยะมูลฝอยที่สร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากถึงพลาสติกใช้เวลาในการย่อยสลายเป็นเวลานาน และยังไม่มีวิธีทำลายโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่มีอายุการใช้งานสั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการใช้เพียงครั้งเดียว ถึงแม้ว่าถุงพลาสติกจะสามารถนำไปรีไซเคิลได้ แต่ปัจจุบันมีการนำกลับไปรีไซเคิลน้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนที่ผลิตออกไป เนื่องจากในการนำไปรีไซเคิลนั้นมีต้นทุนสูง ถึงพลาสติกจึงกลายเป็นขยะปริมาณมหาศาลทำให้เกิดความสกปรก ส่งกลิ่นเหม็น และเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค อีกทั้งขยะถุงพลาสติกยังถูกทิ้งลงสู่ทะเลในปริมาณมหาศาล ซึ่งส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงส่งผลกระทบในด้านต่างๆ เช่น ด้านสุขภาพของมนุษย์ ด้านระบบนิเวศ ด้านทัศนียภาพ และด้านการระบายน้ำ เป็นต้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่าถุงพลาสติกจึงเป็นสินค้าที่ควรถูกควบคุมการบริโภคด้วยมาตรการทางกฎหมายด้านการจัดเก็บภาษีโดยการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต เนื่องจากวัตถุประสงค์ของภาษีสรรพสามิตคือจัดเก็บเพื่อควบคุมการบริโภคสินค้าและบริการ ดังนั้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจึงเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการจัดเก็บภาษีจากถุงพลาสติก เพื่อลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกในประเทศและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะถุงพลาสติก อีกทั้งยังสามารถนำเงินภาษีที่จัดเก็บได้มาใช้ในการจัดการขยะ และฟื้นฟูดูแลสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากขยะถุงพลาสติกได้ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังไม่เคยมีการจัดเก็บภาษีจากถุงพลาสติก จึงควรศึกษาถึงหลักเกณฑ์ในการจัดเก็บภาษีถุงพลาสติกและผลจากการจัดเก็บภาษีถุงพลาสติกของต่างประเทศ เช่น ประเทศไอร์แลนด์ เพื่อนำหลักเกณฑ์ในการจัดเก็บภาษีถุงพลาสติกของประเทศไอร์แลนด์มาประยุกต์ใช้ในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตถุงพลาสติกของประเทศไทย การนำหลักเกณฑ์การจัดเก็บภาษีถุงพลาสติกของประเทศไอร์แลนด์มาประยุกต์ใช้ในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตถุงพลาสติกในประเทศไทยนั้น มีทั้งหลักเกณฑ์ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้และไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ หลักเกณฑ์ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ คือ ประเภทของถุงพลาสติกที่จัดเก็บภาษีซึ่งจัดเก็บถุงพลาสติกทุกประเภทที่ผลิตจากพลาสติก และการยกเว้นภาษีให้ถุงพลาสติกบางประเภทที่มีความจำเป็นต้องใช้หรือไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และต้องมีขนาดที่เหมาะสมกับการใช้ อัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บต้องเป็นอัตราที่ไม่สูงและไม่ต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับค่าครองชีพและการนำเงินภาษีที่จัดเก็บได้ไปใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการดูแล ฟื้นฟูและรักษาสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากการใช้ถุงพลาสติกและขยะถุงพลาสติก ในทางกลับกัน หลักเกณฑ์ที่ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ คือ การยกเว้นภาษีถุงพลาสติกที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้และถูกขายให้กับลูกค้าในราคาไม่น้อยกว่า 70 เซนต์ (cent) ต่อใบ หรือประมาณ 27 บาท ซึ่งเป็นผู้บริโภคคนสุดท้าย แต่ประเทศไทยไม่สามารถยกเว้นให้ได้ เนื่องจากผู้ที่ซื้อถุงไปจากโรงอุตสาหกรรมหรือซื้อจากผู้นำเข้าซึ่งเสียภาษีสรรพสามิตแล้วนั้น ผู้ที่ซื้อไปอาจยังไม่ใช่ผู้บริโภคคนสุดท้ายที่เป็นผู้ที่ใช้ถุงพลาสติอย่างแท้จริง ซึ่งหากไม่นำไปใช้ซ้ำแล้วมีการยกเว้นภาษีให้จะเป็นการยกเว้นให้แบบสูญเปล่า หลักเกณฑ์ถัดมาคือ ความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษี ประเทศไอร์แลนด์จะจัดเก็บภาษีจากลูกค้า ณ จุดชำระเงินของร้านค้าปลีกต่างๆ โดยผู้ประกอบการมีหน้าที่ในการยื่นนำส่งภาษีเท่านั้น แต่ประเทศไทยผู้ประกอบการต้องชำระภาษีเมื่อนำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรม หรือผู้นำเข้าต้องชำระภาษีเมื่อนำสินค้าเข้ามาในประเทศไทยสำเร็จและมีหน้าที่ต้องเสียภาษีศุลกากร ซึ่งมีหลักเกณฑ์แตกต่างกัน และหลักณ์สุดท้ายคือ ฐานภาษี ประเทศไอร์แลนด์จัดเก็บโดยใช้อัตราภาษีเป็นอัตราคงที่ต่อถุงพลาสติก 1 ใบ ซึ่งเท่ากันทุกใบ แต่ประเทศไทยจัดเก็บภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าของสินค้า จึงไม่สามารถนำหลักเกณฑ์ของประเทศไอร์แลนด์มาประยุกต์ใช้ได้ ในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตถุงพลาสติกของประเทศไทยนั้น ผู้เขียนมีข้อเสนอแนะคือ การกำหนดอัตราภาษี ควรคำนวณจากต้นทุนในการจัดการกับขยะถุงพลาสติกและต้นทุนในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบ โดยการจัดเก็บในอัตราที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณพลาสติกที่ใช้ผลิต และการกำหนดฐานภาษี อาจแบ่งตามปริมาณส่วนผสมของพลาสติกต่อพื้นที่ผิวถุงพลาสติก โดยำกำหนดเป็นช่วงร้อยละของปริมาณพลาสติกของพื้นที่ถุงพลาสติก หรือเป็นช่วงของปริมาณพลาสติกต่อพื้นที่ผิดถุงพลาสติกก็ได้ นอกจากนี้ ควรมีการรณรงค์หรือสนับสนุนการใช้ถุงที่ไม่ได้ผลิตจากพลาสติก และประชาสัมพันธ์หรือให้ความรู้แก่ประชาชนถึงปัญหาจากการใช้ถุงพลาสติกและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายได้ผลดียิ่งขึ้น และสามารถลดปริมาณใช้ถุงพลาสติกได้อย่างยั่งยืน |
Description: | เอกัตศึกษา(ศศ.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2560 |
Degree Name: | ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต |
Degree Level: | ปริญญาโท |
Degree Discipline: | กฎหมายเศรษฐกิจ |
URI: | http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/61066 |
URI: | http://doi.org/10.58837/CHULA.IS.2017.17 |
metadata.dc.identifier.DOI: | 10.58837/CHULA.IS.2017.17 |
Type: | Independent Study |
Appears in Collections: | Law - Independent Studies |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
598 61980 34.pdf | 23.52 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.