Please use this identifier to cite or link to this item: https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/73221
Title: การพัฒนาโปรแกรมการศึกษานอกระบบโรงเรียนเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการสื่อสารระหว่างบุคคลสำหรับนิสิตนักศึกษา
Other Titles: Development of a non-formal education program to enhance interpersonal communication competencies for undergraduate students
Authors: เรข์ณพัศ ภาสกรณ์
Advisors: สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล
สารีพันธุ์ ศุภวรรณ
Other author: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะครุศาสตร์
Subjects: การศึกษานอกระบบโรงเรียน
การสื่อสารระหว่างบุคคล
การวิเคราะห์การสื่อสารระหว่างบุคคล
Non-formal education
Interpersonal communication
Transactional analysis
Issue Date: 2561
Publisher: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract: การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์สมรรถนะการสื่อสารระหว่างบุคคลสำหรับนิสิตนักศึกษา 2) พัฒนาโปรแกรมการศึกษานอก ระบบโรงเรียนเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการสื่อสารระหว่างบุคคลสำหรับนิสิตนักศึกษา และ 3) นำเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้โปรแกรมการศึกษานอก ระบบโรงเรียนฯ กลุ่มตัวอย่างมี 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตจำนวน 1,101 คน ใช้วิธีการคัดเลือกโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นหลาย ขั้นตอน 2) นักศึกษาที่เข้าร่วมโปรแกรมฯจำนวน 30 คน 3) ผู้ทรงคุณวุฒิและตัวแทนนิสิตนักศึกษาจำนวน 20 คน ในการสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ ข้อมูลใช้การวิเคราะห์สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x̄) ร้อยละ (%) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การวิเคราะห์ค่า t-test และ p-value ร่วมกับการ วิเคราะห์เนื้อหา ผลวิจัยพบว่า 1. ผลการวิเคราะห์สมรรถนะการสื่อสารระหว่างบุคคลสำหรับนิสิตนักศึกษาด้านแรงจูงใจ ความรู้ และทักษะ โดยรวมอยู่ ในระดับมาก 2. โปรแกรมการศึกษานอกระบบโรงเรียนฯ ประกอบด้วย 8 กระบวนการ ได้แก่ 1) การกำหนดพื้นฐานสำหรับการพัฒนาโปรแกรม 2) การวิเคราะห์สถานการณ์ของชุมชนและกลุ่มผู้รับบริการ 3) การพิจารณาผลลัพธ์ที่พึงประสงค์จากการพัฒนาโปรแกรม 4) การกำหนดแหล่งทรัพยากร และการสนับสนุน 5) การออกแบบแผนการเรียนรู้ 6) โปรแกรมของการปฏิบัติงาน 7) ความน่าเชื่อถือของการใช้ทรัพยากร 8) การสื่อสารคุณค่าของ โปรแกรม และ 12 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการและเหตุผล 2) วัตถุประสงค์ 3) เนื้อหาสาระ 4) คุณสมบัติของผู้เรียน 5) คุณสมบัติของผู้สอน 6) วิธีการเรียนรู้ 7) กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 8) เทคนิคการเรียนรู้ 9) สื่อการเรียนรู้ 10) การประเมินผลการเรียนรู้ 11) บรรยากาศในการเรียนรู้ 12) ผลลัพธ์การเรียนรู้ และผลการใช้โปรแกรมฯ พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับคะแนนเฉลี่ยด้านแรงจูงใจ ความรู้ และทักษะ สูงกว่าก่อนการทดลองอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. แนวทางการประยุกต์ใช้โปรแกรมฯ ประกอบด้วย คุณสมบัติผู้สอน การจัดการและบริหารโปรแกรม และ การสร้าง การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการประยุกต์ใช้โปรแกรมฯ ได้แก่ ผู้เรียน ทีมงาน และบริบทของวัฒนธรรม
Other Abstract: The purposes of this research were to 1) analyze interpersonal communication competencies for undergraduate students; 2) develop a non-formal education program to enhance interpersonal communication competencies for undergraduate students; 3) present the application guidelines of a non-formal education program. There are 3 groups of samples; 1) 1,101 undergraduate students who were selected by using multi-stage stratified random sampling; 2) 30 undergraduate students participating in the activities; 3) 20 experts and student representatives for focus group discussion. The statistics employed for analysis were frequency (), percentage (%), standard deviation (S.D.), t-test, p-value and content analysis. The findings can be summarized as follows 1. The mean scores of interpersonal communication competencies for undergraduate students were at high level in motivation, knowledge and skill. 2. A developed non-formal education program was consisted of 8 processes: 1) identification of the basis for programming, 2) situational analysis of community and clientele, 3) identification of desired outcomes, 4) identification of resources and support, 5) design of an instructional plan, 6) program of action, 7) accountability of resources, and 8) communication of the value of the program; and 12 components: 1) rational criterion, 2) objectives, 3) content, 4) learners qualification, 5) facilitators qualification, 6) learning method, 7) learning process, 8) learning technique, 9) resources and materials, 10) learning evaluation, 11) learning environment, and 12) learning outcomes. The results showed that the samples have motivation, knowledge and skills significantly higher than the one before the experiment by 0.05 point. 3. The application guidelines of a developed non-formal education program were consisted of three components: facilitator qualifications, program management, and creating involvement of stakeholders. Factors affecting the success of program application include learners, teams, and cultural context.
Description: วิทยานิพนธ์ (ค.ด.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2561
Degree Name: ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต
Degree Level: ปริญญาเอก
Degree Discipline: การศึกษานอกระบบโรงเรียน
URI: http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/73221
URI: http://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2018.715
metadata.dc.identifier.DOI: 10.58837/CHULA.THE.2018.715
Type: Thesis
Appears in Collections:Edu - Theses

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
Edu_5784257927_Renapas Pa.pdf4.08 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.