Please use this identifier to cite or link to this item: https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/12261
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorพวงแก้ว ปุณยกนก-
dc.contributor.authorสุดารัตน์ มนต์นิมิตร-
dc.contributor.otherจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะครุศาสตร์-
dc.date.accessioned2010-03-16T04:08:04Z-
dc.date.available2010-03-16T04:08:04Z-
dc.date.issued2545-
dc.identifier.isbn9741727496-
dc.identifier.urihttp://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/12261-
dc.descriptionวิทยานิพนธ์ (ค.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2545en
dc.description.abstractศึกษากระบวนการคิดและวิธีคิดแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์ วิเคราะห์วิธีคิดของนักเรียนกลุ่มที่ได้คะแนนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด วินิจฉัยข้อบกพร่องในวิธีคิด และศึกษาผลของการสอนซ่อมเสริมตามวิธีคิดที่บกพร่องที่ค้นพบจากการทดสอบ โดยใช้เทคนิคการคิดออกเสียงที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์ ตัวอย่างประชากรเป็น นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2544 โรงเรียนมาบอำมฤตวิทยา จังหวัดชุมพร สังกัดกรมสามัญศึกษา จำนวน 30 คน นำข้อมูลมาวิเคราะห์โดยการแจกแจงความถี่และหาค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า 1. วิธีคิดของนักเรียนในการนำไปใช้แก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์ มี 6 วิธีการ คือ 1) วิธีการกำหนดตัวแปรไม่ทราบค่า 2) วิธีการสร้างภาพ 3) วิธีการสร้างตาราง 4) วิธีการให้เหตุผล 5) วิธีการทำย้อนกลับ 6) วิธีการคาดคะเนและตรวจสอบ โดยมีนักเรียนบางคนใช้ 2 วิธีร่วมกันในการแก้ปัญหา 1 ข้อ 2. วิธีคิดที่นักเรียนกลุ่มที่ได้คะแนนผ่านเกณฑ์นำมาใช้ในการแก้ปัญหาโจทย์ คณิตศาสตร์แต่ละข้อ มากที่สุด คือ ข้อที่ 1. วิธีการคาดคะเนตรวจสอบ ข้อที่ 2. วิธีการให้เหตุผล ข้อที่ 3.วิธีการสร้างภาพ ข้อที่ 4 วิธีการสร้างตาราง ข้อที่ 5. วิธีการสร้างภาพ/วิธีการทำย้อนกลับ 3. ก่อนการสอนซ่อมเสริม นักเรียนมีข้อบกพร่องในวิธีคิด โดยมีสาเหตุจากการไม่รู้จักวิธีคิด มากที่สุด หลังการสอนซ่อมเสริม นักเรียนมีข้อบกพร่องในวิธีคิด โดยมีสาเหตุจากการใช้วิธีคิดไม่ถูกวิธีมากที่สุด 4. หลังการสอนซ่อมเสริม นักเรียนยังคงใช้วิธีเดิมในการแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์มากที่สุดคิดเป็น 40.7% รองลงมาคือ การเปลี่ยนวิธีคิด คิดเป็น 33.3% และไม่เกิดวิธีคิด คิดเป็น 16.7% ส่วนการใช้วิธีเดิมเสริมวิธีคิดใหม่ มีจำนวนน้อยที่สุด คิดเป็น 9.3% 5. การเปลี่ยนวิธีคิด ทำให้มีจำนวนนักเรียนได้คะแนนเพิ่มขึ้น มากที่สุด รองลงมาคือ การใช้วิธีเดิมและการใช้วิธีเดิมเสริมวิธีใหม่ 6. ผลของการสอนซ่อมเสริม ทำให้มีนักเรียนได้คะแนนเพิ่มขึ้น คิดเป็น 40.0% มีนักเรียนได้คะแนนลดลง คิดเป็น 12.0% และมีนักเรียนได้คะแนนคงเดิม 48.0en
dc.description.abstractalternativeTo study the thinking process and the mathematic problem solving methods, to analyse the problem solving methods of students who pass the cutting point, to diagnose the deficiencies of mathematic problem solving methods and to study the effect of remedial teaching according to the deficiencies found by using Think Aloud Technique. The sample of this study was 30 Mathayom Saksa three student in 2001 academic year of Mabaummaritvittaya School, Chumporn,under the jurisdiction of the department of the department of general education. The frequency distribution and percentage distribution of the mathematic problem solving methods were analyzed. The result of this research revealed that: 1. Six mathematic problem solving methods were found. They were; 1) unknown variable method 2) diagramming method 3) tabulating method 4) reasoning method 5) work backward method 6) guess and check method. 2. The mathematic problem solving methods used by students who pass the cutting point were ranging from; 1) guess and check method 2) reasoning method 3) diagramming method 4) tabulating method 5) diagramming method with backward method 3.The main deficiency found before the remedial teaching was the lack of knowledge about mathematic problem solving methods but after receiving the remedial teaching it was found that using wrong methods caused the deficiencies of the mathematic problem solving methods most. 4. After receiving the remedial teaching the students used the mathematic problem solving methods ranging from; unchanged method 40.7%, using new method 33.3%, no capability to solve the problem 16.7% and mixed methods 9.3%. 5. The order of mathematic problem solving method the increasing students score were ranging from; new method, old method and old method with new method. 6.After the remedial teaching students can increase score 40.0%, decrease score 12.0% and unchanged score 48.0%.en
dc.format.extent3204512 bytes-
dc.format.mimetypeapplication/pdf-
dc.language.isothes
dc.publisherจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen
dc.rightsจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen
dc.subjectความคิดและการคิดen
dc.subjectคณิตศาสตร์ -- การศึกษาและการสอน (มัธยมศึกษา)en
dc.subjectการสอนซ่อมเสริมen
dc.titleการใช้เทคนิคการคิดออกเสียงเป็นเครื่องมือในการวินิจฉัยความสามารถ ในการแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์เพื่อจัดสอนซ่อมเสริม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3en
dc.title.alternativeA use of think aloud technique as a diagnostic tool in investigating the ability to solve mathematic problems for remedial teaching for mathayomsuksa three studentsen
dc.typeThesises
dc.degree.nameครุศาสตรมหาบัณฑิตes
dc.degree.levelปริญญาโทes
dc.degree.disciplineการวัดและประเมินผลการศึกษาes
dc.degree.grantorจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยen
dc.email.advisor[email protected]-
Appears in Collections:Edu - Theses

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
Sudarat.pdf3.13 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.