Please use this identifier to cite or link to this item:
https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/9237
Title: | การใช้แดบโซนในการรักษาหลอดเลือดอักเสบลิวโคซัยโตคลาสติก เฉพาะที่ผิวหนัง |
Other Titles: | Dapsone in the treatment of cutaneous leukocytoclastic vasculitis |
Authors: | พีรพัฒน์ นิ่มกุลรัตน์ |
Advisors: | นภดล นพคุณ |
Other author: | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บัณฑิตวิทยาลัย |
Advisor's Email: | [email protected] |
Subjects: | หลอดเลือด -- โรค แดบโซน ยาหลอก ผิวหนัง -- โรค |
Issue Date: | 2540 |
Publisher: | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract: | แดบโซนซึ่งเป็นยาที่ใช้บ่อยทางคลินิก มีรายงานว่าได้ผลในการรักษาหลอดเลือดอักเสบลิวโคซัยโตคลาสติกเฉพาะที่ผิวหนัง แต่รายงานส่วนใหญ่เป็นรายงานซึ่งไม่มีกลุ่มควบคุมและผลการรักษายังมีความขัดแย้ง การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพผลของแดบโซนเปรียบเทียบกับยาหลอกในการรักษาหลอดเลือดอักเสบลิวโคซัยโตคลาสติกเฉพาะที่ผิวหนังโดยทำการศึกษาที่มีกลุ่มควบคุม ผู้ป่วยจำนวน 31 คนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นหลอดเลือดอักเสบลิวโคซัยโตคลาสติกโดยอาศัยลักษณะทางคลินิกร่วมกับการตรวจทางจุลพยาธิวิทยา และไม่มีความผิดปกติของระบบอื่นของร่างกายนอกเหนือจากที่ผิวหนังจะถูกสุ่มเพื่อเข้าร่วมการศึกษาโดยแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะได้รับแดบโซนชนิดรับประทาน 100 มก. วันละครั้ง อีกกลุ่มหนึ่งได้รับยาหลอก วันละครั้ง เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ผลการรักษาประเมินจากจำนวนรอยโรคที่ลดลงหรือหายไป ผู้ป่วยทุกรายที่มีการตอบสนองต่อการรักษาอย่างสมบูรณ์จะได้รับการติดตามการรักษาจนสิ้นสุดการวิจัยเพื่อดูการกลับเป็นซ้ำของโรค ขณะติดตามการรักษาถ้ามีรอยโรคเกิดขึ้นใหม่ก็จะให้การรักษาด้วยยาเดิมจนกว่ารอยโรคจะหาย ผู้ป่วยเข้าร่วมการวิจัยจนสิ้นสุดการวิจัยทุกคน หลังการรักษาพบว่าจำนวนรอยโรคในผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สัดส่วนผู้ป่วยที่มีการตอบสนองต่อการรักษาอย่างสมบูรณ์ในผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มก็ใกล้เคียงกันเมื่อได้รับการรักษาครบ 1 เดือน จากการติดตามผลการรักษาเป็นระยะเวลาประมาณ 5 เดือน ไม่พบว่าอัตราการกลับเป็นซ้ำ จำนวนครั้งที่เป็นซ้ำและระยะเวลาปลอดโรคมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากการวิจัยนี้สามารถสรุปได้ว่า แดบโซนไม่มีผลการรักษาอย่างมีนัยสำคัญในการรักษาผู้ป่วยหลอดเลือดอักเสบลิวโคซัยโตคลาสติกเฉพาะที่ผิวหนังเมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอกในด้านจำนวนรอยโรคที่ลดลงและอัตราการกลับเป็นซ้ำ |
Other Abstract: | Dapsone, a common use drug, has been anecdotally shown to be effective in treating cutaneous leukocytoclastic vasculitis, and contradictory results have been reported. The objective of this study is to determine the efficacy of dapsone in the treatment of cutaneous leukocytoclastic vasculitis by comparing with placebo, conducting in a double-blind, randomized controlled trail. 31 patients with clinical and biopsy-proved leukocytoclastic vasculitis, without clinical and laboratory evidences of systemic involvement, were randomly assigned to receive either 100 mg of oral dapsone or placebo once daily for at least two weeks. Response to the treatment was determined by the reduction in the number or clearing of the cutaneous lesions. All patients who had a complete response were followed up until the end of the study for recurrence. Therapy was restarted if there was recurrence until remission occurred. All of the enrolled patients completed the study. There was no statistically significant decrease in the number of lesions in both groups after therapy. Rates of complete response were similar in both groups after one month of treatment. After 5-month follow up period, there was no statistically significant difference between both groups regarding recurrent rates, number of recurrences and disease-free intervals. We can conclude that dapsone has no significant therapeutic effects regarding reduction in the number of lesions and recurrence rates in patients with cutaneous leukocytoclastic vasculitis when compared with placebo in this double-blinded, randomized controlled trial. |
Description: | วิทยานิพนธ์ (วท.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2540 |
Degree Name: | วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต |
Degree Level: | ปริญญาโท |
Degree Discipline: | อายุรศาสตร์ |
URI: | http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/9237 |
ISBN: | 9746383086 |
Type: | Thesis |
Appears in Collections: | Grad - Theses |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
Peerapat_Ni_front.pdf | 765.49 kB | Adobe PDF | View/Open | |
Peerapat_Ni_ch1.pdf | 729.17 kB | Adobe PDF | View/Open | |
Peerapat_Ni_ch2.pdf | 959.03 kB | Adobe PDF | View/Open | |
Peerapat_Ni_ch3.pdf | 828.39 kB | Adobe PDF | View/Open | |
Peerapat_Ni_ch4.pdf | 757.32 kB | Adobe PDF | View/Open | |
Peerapat_Ni_ch5.pdf | 681.98 kB | Adobe PDF | View/Open | |
Peerapat_Ni_ch6.pdf | 873.64 kB | Adobe PDF | View/Open | |
Peerapat_Ni_ch7.pdf | 964.47 kB | Adobe PDF | View/Open | |
Peerapat_Ni_ch8.pdf | 742.95 kB | Adobe PDF | View/Open | |
Peerapat_Ni_ch9.pdf | 692.5 kB | Adobe PDF | View/Open | |
Peerapat_Ni_back.pdf | 882.33 kB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.